หลักการสำคัญ ของกฎหมายฉบับนี้
เปลี่ยนแนวคิด ของการสร้างหลักประกันรายได้ของผู้สูงอายุจากการสงเคราะห์เป็นการให้แบบถ้วนหน้าอย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยการเปลี่ยนเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญพื้นฐานถ้วนหน้า
ใช้หลักเกณฑ์เดียว คือจ่ายบำนาญให้ทุกคนเมื่อมีอายุครบ 60 ปี โดยไม่มีเงื่อนไข
กำหนดอัตราการจ่าย ที่ใช้เกณฑ์เส้นความยากจน มีการกำหนดให้พิจารณาเกณฑ์ทุก 3 ปี โดยภาคประชาชนเสนอ 3,000 บาทถ้วนหน้า
จัดการระบบบำนาญพื้นฐานถ้วนหน้าในรูปแบบกองทุน ที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นมืออาชีพ ทั้งการดูแลเงินในกองทุนและการหารายได้เพิ่มเพื่อความยั่งยืน
มีการกำหนดแหล่งที่มาของรายได้กองทุน ผ่านการจัดเก็บภาษี ทั้งระบบภาษีที่มีอยู่เดิม ที่ยังจัดเก็บได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ และนำมาเข้ากองทุนบำนาญเฉพาะ รวมทั้งเสนอให้มีการจัดเก็บภาษี ที่ยังไม่มีการเก็บอย่างชัดเจน เช่นภาษีความมั่งคั่งเป็นต้น
ทำไมต้องแก้กฎหมายผู้สูงอายุเดิม
เพราะการสงเคราะห์ ≠ สิทธิ์พื้นฐาน
กฎหมายเดิมยังมีหลักการแนวคิดการจ่ายเงินสนับสนุนผู้สูงอายุ เป็นลักษณะเบี้ยยังชีพที่ยังมีเบื้องหลังความเชื่อในลักษณะสงเคราะห์ที่ไม่ใช่สิทธิ์พื้นฐาน
เพราะไม่ระบุจำนวนเงิน
กฎหมายเดิมไม่มีการระบุอัตราการจ่าย ส่งผลให้สามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินในการจ่ายตามนโยบายรัฐบาลปัจจุบันมีการจ่าย “เบี้ยยังชีพ” ให้คนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 600 ,700, 800 และ 1,000 บาทตามอายุ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
เพราะไม่กำหนดเกณฑ์การจ่ายที่ชัดเจน
แม้ว่าปัจจุบันมีการจ่ายถ้วนหน้าให้ผู้สูงวัยทุกคน แต่เนื่องจากไม่มีกฎหมายกำหนดความชัดเจนว่าควรมีเกณฑ์การจ่ายอย่างไร แต่ละปีจึงขึ้นอยู่กับหน่วยงานรัฐว่าจะเสนอเปลี่ยนแปลงเกณฑ์หรือไม่ เช่น เปลี่ยนจากให้ถ้วนหน้าเป็นเลือกให้บางกลุ่มเท่านั้นเป็นต้น
จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้ามี “บำนาญ พื้นฐานถ้วนหน้า”
- ทำให้ผู้สูงอายุมีรายได้ที่แน่นอนทุกเดือน
- ผู้สูงอายุวางแผนชีวิตระยะยาวได้ ว่าจะนำเงินที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอไปทำอะไร เช่น ลงทุนค้าขาย ซ่อมแซมที่พักอาศัย เป็นต้น
- กระตุ้นเศรษฐกิจจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้สูงอายุ
- ลดภาระการพึ่งพิงลูกหลานด้านค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง
- ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพิ่มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และช่วยตัดวงจรความยากจนเรื้อรัง
จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าไม่มี “บำนาญถ้วนหน้า” หรือให้บำนาญเฉพาะกลุ่ม
- ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ลำบาก อาจต้องอดมื้อกินมื้อเพราะไม่มีเงินออม และต้องพึ่งพิงเงินจากรัฐ
- ลูกหลานมีภาระมากขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ
- เกิดชนชั้นในสังคม แบ่งแยกคนรวยคนจน
- วงจรความยากจนเรื้อรังส่งต่อจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก
รู้จักเรา
“เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ” (Welfare Watch Network)
เคยได้ยินเรื่อง “บำนาญแห่งชาติ” กันไหม? เงินรายเดือนที่ปรับจากเบี้ยยังชีพ 600 – 1,000 บาท มาเป็น 3,000 บาทให้กับผู้สูงอายุทุกคน เพื่อเป็นหลักประกันรายได้ตอนสูงวัย แบบที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต
“เปลี่ยนเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญถ้วนหน้า” คือหนึ่งในแคมเปญที่ เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ริเริ่มจากการทำงานของเครือข่ายประชาชนหลายภาคส่วนมารวมตัวกันขับเคลื่อน เปลี่ยนรัฐสงเคราะห์เป็นรัฐสวัสดิการ บนหลักการ "ถ้วนหน้าครอบคลุมทุกคน เพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยอิงตามเส้นความยากจนที่ปรับทุก 3 ปี และยั่งยืน โดยมีกฎหมายบำนาญแห่งชาติมารองรับ”
ก่อนหน้านี้ เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ รวบรวมรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยเสนอกฎหมายไปยังสภา แต่นายกฯ “ประยุทธ์” ปัดตกกฎหมาย โดยไม่มีเหตุผล ฟากฝั่งราชการที่ให้ความเห็นก็บอกว่า “เป็นภาระงบประมาณ ภาระประเทศ” แต่เรายังไม่ยอมแพ้ แม้กฎหมายจะถูกปัดตก เรายังคงผลักดันให้ทุกคนบนประเทศนี้มี “บำนาญแห่งชาติ” ให้ได้
สนใจร่วมขับเคลื่อน “บำนาญแห่งชาติ” ไปด้วยกันกับเรา เพื่อพ่อแม่ พี่ป้าน้าอาของเรา และตัวเรา ติดตาม FB แฟนเพจ: บำนาญแห่งชาติ
Partners